แนะนำน้องใหม่เริ่มเดินป่า ทุกวันนี้มีป่าไม้ธรรมชาติที่งดงามรอเราอยู่หลายแห่งครับ ใครที่เกิดมายังไม่เคยเดินป่าออกลุยเลยคงต้องเริ่มต้น จากการเดินทางง่าย ๆ และมีคนแนะนำให้ก่อนนะครับ |
เท่าที่ผมเคยไปมาคนที่เดินครั้งแรกบ่นแล้วบ่นอีกว่าเหนื่อย ว่าร้อน ยังโง้นยังงี้ แต่ก็กลับไปเที่ยวใหม่ทุกคนล่ะครับ เพราะการท่องเที่ยวเดินป่านี่มีเสน่ห์ตรงที่ความลำบาก และท้าทายนี่แหละ การเดินป่าไม่ใช่การเดินดุ่ม ๆ เข้าไปในป่าโดยไม่เตรียมอะไรไว้เลยนะครับ ซึ่งอันตรายมาก แล้วก็ การเดินโดยไม่มีคนนำทางก็อันตรายพอๆ กัน จะพากันไปหลงให้เค้าต้องเอา ฮ. ตามกันเปล่า ๆ |
การเตรียมตัวไปแคมปิ้ง หลายๆท่านที่อยู่อาศัยในตัวเมืองหรือศูนย์การค้าเป็นหลักที่คิดจะเริ่มลองออกไปแสวงหาธรรมชาติพิสุทธิ์และงดงาม ต้องหัดเตรียมตัวกันนิดนึงก่อน โดยทั่ว ๆ ไปวิธีที่ง่ายสุดคือไปกับคนที่รู้ไม่งั้นก็ไปกินอยู่กันลำบากแน่ แบบไม่สนุกเพราะขาดการเตรียมตัวที่ดีนั่นเอง จนอีกหน่อยเที่ยวไป ๆ ของในเป้คุณจะน้อยลงไปเอง โดยอัตโนมัติและความลำบากเล็ก ๆ น้อย ๆ จะกลับกลายเป็นเรื่องสนุกไป แต ๆ ... มือใหม่อย่างเราควรเตรียมตัวให้พร้อมก่อนเพราะเรายังไม่รู้ความต้องการใช้สิ่งของที่แท้จริง ในป่า ซึ่งแต่ละคนมีไม่เท่ากัน การหาข้อมูลก็เป็นสิ่งจำเป็นอย่างมาก ...ต้องเลือกจุดหมายปลายทางที่จะไปเสียก่อน ที่เที่ยวอย่าง เขาใหญ่ แก่งกระจาน ปัจจุบันก็หนาแน่นไปด้วยผู้คนและร้านค้าจนแทบไม่ต้องเตรียมอะไรแล้วครับ แต่ถ้าเริ่มต้นเดินป่า ค้างแรมที่ ๆ แปลกออกไปสักนิด (แน่นอนว่าบรรยากาศย่อม "สด" กว่าฮะ เลือกให้ตรงใจว่าจะไปที่ไหนแน่ ดูให้ตรงกับฤดูกาลด้วย เช่นไปน้ำตกที่มีโอกาสเจอน้ำป่าหรืออุทกภัยช่วง เดือนตุลาคมก็คงไม่ปลอดภัย ก็เลี่ยงไปเปนการเดินทุ่งดอกไม้หรือไปทางอีสานซึ่งสวยสุดหน้าเดียวคือหน้าฝนซะเลย อย่างนี้เป็นต้น แหล่งข้อมูลทางหนังสือที่มีก็ทั้งอนุสาร อสท. หนังสือทริป แหล่งท่องเที่ยว ATG สารคดี Update แหล่งข้อมูลทางอินเตอร์เนท |
จากนั้นก็เป็นการวางแผน..... อย่างที่กล่าวไว้ตอนต้น เดินเข้าป่าดุ่ม ๆ ไปนี่ก็คงจะมีแต่ชาวบ้านกะพรานที่อยู่แถวนั้นที่เขาทำกัน เราต้องวางแผนก่อนว่าจะไปกันยังไงดี บางที่ขืนตะบึงตะบันขับรถไปเอง แต่เจอทางยากเดินเหนื่อย ขาขับรถกลับ จะอันตรายเปล่า ๆ รึจะลองไปรถหวานเย็นดู ไม่ก็ลองนั่งรถไฟหรือโบกรถกันซะเลย นอกจากนี้ก็ต้องรู้ว่าจะไปกันกี่วัน บางคนไปยอดเขาแห่งหนึ่ง ยังเผื่อไว้ 9 วันครับ เดินจริงไม่ถึงหรอก แต่ต้องเผื่อหลงไว้ เพราะเป็นเส้นที่ไม่มีใครเคยเดิน สักกี่คน มือใหม่คงเอาแค่หอมปากหอมคอ ถ้าไปได้ในวันธรรมดาก็จะดีมาก เพราะคนไม่เยอะครับแต่ถ้าทำไม่ได้ก็หลีกเลี่ยงเทศกาล ที่มีผู้คนมากมายเหลือเกิน อาจทำให้ท่านเสียความรู้สึกซะเปล่า ๆ |
เมื่อวางแผนเรียบร้อย และได้เดินทางไปจนถึงที่เริ่มเดินเท้าแล้ว เราจะต้องตรวจดูความเรียบร้อยของเครื่องแต่งกายและอุปกรณ์ทุกชิ้นก่อนว่าอยู่ครบถ้วนหรือไม่ โดยปกติแล้วเมื่อเก็บข้าวของเครื่องใช้ต่าง ๆ ลงในเป้หลังแล้ว จะพบว่าข้าวของเครื่องใช้ต่าง ๆ จะมีที่ที่เหมาะสมของมันอยู่แล้วตามช่องเป้หลังต่าง ๆ เมื่อท่านเริ่มเดินป่าไปหลาย ๆ ครั้ง ทุกอย่างก็จะเข้าที่ไปโดยอัตโนมัติ แต่ช่วงแรกควรถามผู้ที่เคยมีประสบการณ์มาก่อน จะทำให้เราได้รับความรู้และประโยชน์มากที่สุด ก่อนจะเริ่มเดินทางสัก 30 นาที ขอให้ดื่มน้ำให้อิ่มและเติมน้ำในกระติกให้เต็ม เพราะน้ำเป็นสิ่งสำคัญที่สุดที่เราต้องเก็บไว้ใช้ และขอแนะนำว่าให้นำอาหารแห้ง เช่น บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปหรืออาหารกระป๋องและข้าวสารใสไปในสัมภาระส่วนตัวของคุณสัก 1 ชุดไว้ก่อนเสมอ ในกรณีที่มีคนหาบสัมภาระให้ แต่ถ้าหากไม่มีคนหาบก็ขอให้แบ่งอาหารกระจายไปในกลุ่มโดยทั่วถึงกันเป็นชุด ๆ เผื่อว่าในกรณีที่พลัดหลงกันจะได้มีอาหารรับประทานกันทุกคน และอีกอย่างหนึ่งที่จะละเลยกันไม่ได้ก็คือ การศึกษาเส้นทางที่เราจะเดินทางไป เพราะในบางครั้งอาจมีลำธารมาขวางกั้น หรืออาจมีป่าทึบมากจนไม่สามารถ ผ่านไปได้ ทำให้เราต้องเปลี่ยนทิศทางในการเดิน |
หรือถ้าคุณต้องการเดินทางไปให้ถึงหมู่บ้านของชาวบ้านท้องถิ่นให้เดินเลาะลำธารและแม่น้ำ เพราะชาวบ้านมักจะอาศัยอยู่ตามริมแม่น้ำชุมทางแม่น้ำทุกแห่ง มักจะเป็นเส้นทางการคมนาคม และประกอบการค้าของชาวบ้านเสมอ เพื่อเป็นการเตรียมตัวในการผจญภัยให้เต็มที่ จึงควรตรวจดูแผนที่และทิศทางก่อนที่จะเริ่มออกเดินทางด้วย | ||||
เมื่อทุกอย่างได้เตรียมพร้อมสำหรับการเดินทางแล้ว เราก็เริ่มออกเดินทางกันได้เลย ในการเดินทางนั้นควรจะเดินไปในทิศทางใดทิศทางหนึ่ง แต่ไม่ได้หมายความว่า เราจะต้องเดินทางเป็นเส้นตรงเลยทีเดียว เมื่อพบว่าจะมีสิ่งกีดขวาง ก็ให้พยายามใช้วิธีหลีกเลี่ยงเพื่อเป็นการออมกำลังไว้ จึงไม่ควรใช้กำลังฝ่าอุปสรรคนั้นเข้าไปโดยไม่จำเป็น เช่น เดินหลบเลี่ยงไปสักหน่อยดีกว่าที่เราจะต้องใช้กำลังบุกฝ่าป่าที่รกทึบเข้าไป เพียงเพราะมองเห็นแค่ระยะทางสั้นกว่า และในการเดินป่าไม่ควรเดินอย่างรีบร้อน แต่ควรเดินพิจารณาไปอย่างช้า ๆ และมองดูสิ่งต่าง ๆ รอบ ๆ ตัวอย่างรอบคอบ เพื่อป้องกันสัตว์ต่าง ๆ ที่มีอยู่ตามทางเดิน ตลอดเวลาของการเดินทางต้องใช้ความระมัดระวังให้เป็นพิเศษ อย่าเดินด้วยความซุ่มซ่าม เพราะจะทำให้เกิดการฟกฟ้ำดำเขียวหรือบาดแผลขึ้นกับตัวเราได้ |
อีกทั้งยังต้องฝึกตัวเองให้เป็นคนที่มีสายตาว่องไว และคุ้นเคยกับสภาพของป่า
นั่นคือการหัดสังเกตสิ่งที่กีดขวางให้ดีเสียก่อน ซึ่งการใช้สายตาในการสังเกตจะใช้
2 ลักษณะคือ 1. ใช้สายตามองแบบกว้าง ๆ เมื่อตอนแรกที่เรามองป่า ก็มองสภาพทั่ว ๆ ไปของป่า ก้มมองสภาพทั่ว ๆ ไปของป่า กวาดสายตาไปอย่างรวดเร็วให้ทั่วบริเวณนั้น เก็บสภาพทั่ว ๆ ไปของบริเวณนั้นเอาไว้ก่อน เช่น ลักษณะของป่า ลักษณะของกลุ่มไม้ แนวเส้นทาง ฯลฯ 2. ใช้สายตามองเฉพาะจุด เมื่อเรามองสภาพทั่ว ๆ ไป ของป่าแล้ว จากนั้นให้มองพิจารณาจุดเด่น ๆ ที่น่าสนใจ เช่น ต้นไม้มีขนาดใหญ่หรือมีสีสันที่แปลกออกไปจากต้นอื่น ๆ ที่สังเกตและจำได้ง่าย นักเดินป่าที่ดีไม่ควรใช้เสียงในการเดินทาง หากจำเป็นก็ขอให้เสียงที่ใช้นั้นเบาที่สุดและน้อยครั้งที่สุด ใช้ประสาททั้งหมดจดจ่ออยู่กับธรรมชาติให้มากที่สุด ทั้งประสาทตา ประสาทหูและประสาทจมูก ควรทำการตรวจสอบทิศทางในการเดินทางอยู่เสมอ คือควรจะรู้ว่าตัวเราและคณะกำลังมุ่งไปทิศทางใดบ้าง เช่น มุ่งหน้าไปทางทิศตะวันตกบางครั้งก็หักเหไปทางตะวันออกเฉียงเหนือบ้างเล็กน้อย พอหยุดพักก็หมั่นตรวจสอบกับแผนที่ จะทำให้เราสามารถคาดคะเนได้ว่า เราอยู่ตรงจุดใดของพื้นที่ ซึ่งจะทำให้เราสามารถตัดสินใจได้อย่างเด็ดขาดและถูกต้องที่สุด เมื่อต้องเผชิญกับเหตุการณ์ ที่เราคาดไม่ถึง |
เมื่อการเดินทางของเราจะต้องเดินตามลำห้วย จะต้องใช้ความระมัดระวังให้ดี ขอแนะนำว่าห้ามถอดรองเท้าเดินในลำห้วยเพราะอาจจะทำให้เท้าบาดเจ็บ ซึ่งจะทำให้กลายมาเป็นอุปสรรคในการเดินป่า จึงควรยอมให้รองเท้าเปียกจะดีกว่า เนื่องจากในลำน้ำอาจมีหอยที่เปลือกบางแตกบาดเราได้ แม้ว่าจะช่วยทรงตัวได้ดีกว่าบ้างก็ตาม ในขณะเดินป่าควรป้องกันอันตรายจากแมลงต่าง ๆ โดยการสวมเสื้ออยู่ตลอดเวลา อย่าถลกแขนเสื้อขึ้นถ้าไม่ได้อยู่ในที่โล่งแจ้งที่มีอากาศโปร่งสบาย จงพยายามปกปิดทุกส่วนของร่างกาย ในการเดินป่าถ้าพบกิ่งไม้ที่เป็นราหรือหญ้าเขียว ที่เป็นฝอยที่เกิดขึ้นทั่วไป ควรจะเดินหลีกเลี่ยงเพราะหากว่าเราเดินเหยียบอาจจะทำให้ลื่น จนถึงขั้นหกล้มได้ ในกรณีที่เกิดการพลัดหลงกันอย่าได้ตะโกนเรียกหากันโดยเด็ดขาด เพราะจะทำให้เหนื่อยเปล่า อีกประการหนึ่งก็คือการกู่เรียกโดยไม่รู้ถึงวิธีการ ที่ถูกต้องนั้นจะยิ่งทำให้ยิ่งหลงทิศหนักเข้าไปอีก ควรจะใช้วิธีการเคาะหรือตีต้นไม้สูง ๆ ด้วยท่อนไม้ เพราะจะทำให้เกิดเสียงได้ยินก้องไปไกลกว่าเสียงก้องตะโกน ในเวลากลางคืนสัตว์ป่าทั้งหลายจะเดินตามลำห้วยและตามสันเขา ดังนั้นเราควรจะอยู่ให้ห่างจากบริเวณดังกล่าว หากจะเดินทางออกไปจากที่พักและมีความต้องการที่จะเดินกลับเข้ามาอีกในภายหลังควรจะต้องทำเครื่องหมายไว้ตามทางที่เดินไปให้เห็นอย่างชัดเจนเพื่อที่จะสามารถกลับที่พักได้อย่างถูกต้องและไม่พลัดหลง ในการเดินทางข้ามลำห้วยคนที่ว่ายน้ำไม่เป็น ควรเดินข้ามคู่ไปกับคนที่ว่ายน้ำเป็น เพื่อที่จะได้ช่วยดูแลช่วยเหลือกันได้ เพราะคนที่ว่ายน้ำไม่เป็นมักจะตื่นกลัวแม้ว่าน้ำไม่ลึกนัก ยิ่งถ้าข้ามรวมเป็นกลุ่มเดียวกันแล้วก็จะมีปัญหาเพิ่มมากยิ่งขึ้น ในการข้ามลำห้วยหรือลำธารถ้าน้ำไม่ลึกมากนักเพื่อความปลอดภัยของตัวเรา ควรใช้เชือกขึงข้ามลำธารไว้พยุงตัวไม่ให้ลื่นล้ม เพื่อเป็นการป้องกันที่ดีอีกวิธีหนึ่ง |
ในการเดินป่าย่อมจะมีจุดหมายปลายทางที่เรากำหนดไว้ว่าจะต้องไปให้ถึง แต่บางครั้งการเดินทางสู่จุดหมายอาจจะมีทางเลือกให้เดินหลายเส้นทาง
แต่เราควรจะพิจารณา ถึงหลัก 3 ประการคือ ความปลอดภัย ความสะดวกในการเดินทาง
และระยะทางซึ่งทั้ง 3 ประการนี้ เราจะต้องนำมาพิจารณาเข้าด้วยกัน เพื่อหาเส้นทางที่เหมาะสมในการเดินทาง
แต่ทว่าในเส้นทางนั้นอาจมีอุปสรรค สิ่ง กีดขวาง หรือภูมิประเทศที่แตกต่างกันออกไป
เราจึงมีข้อแนะนำถึงวิธีการเดินผ่านภูมิประเทศต่าง ๆ ดังนี้ การเดินทางตามสันเขา ... โดยทั่วไปแล้วเส้นทางเดินบนสันเขาจะเดินได้ง่ายกว่าการเดินตามหุบเขา ทางเดินของสัตว์มักจะผ่านไปบนสันเขาบ่อย ๆ และสัตว์ต่าง ๆ อาจจะใช้เส้นทางนี้ในการเดินก็ได้ นอกจากนี้บนสันเขามักจะมีต้นไม้หรือพันธุ์พืชต่าง ๆ ที่เป็นอุปสรรคกีดขวางการเดินขึ้นอยู่น้อยมาก แต่จะมีจุดสูง ๆ ที่เราสามารถขึ้นไปสังเกตภูมิประเทศเบื้องล่างได้อีกด้วย การเดินบนสันเขาจะช่วยให้เราประหยัดพลังงานได้เยอะทีเดียว เพราะเราไม่ต้องปีนขึ้นปีนลงหรือลุยข้ามลำน้ำ ลำห้วย ดังจะเห็นได้จากชาวเขาที่มักชอบเดินตามสันเขาและมักจะเลี่ยงที่สูงชันหรือหุบเหว แต่การเดินบนสันเขาก็จะมีปัญหาอยู่บ้างเหมือนกัน คือ บนสันเขามักมีหลายเส้นทางทับกันอยู่อย่างสับสน อาจจะทำให้หลงทางได้ง่าย ดังนั้นจึงควรต้องทำการตรวจสอบทิศทางกับเข็มทิสหรือด้วยวิธีอื่นอยุ่อย่างสม่ำเสมอ เพื่อจะได้ไม่เสียเวลาในการหลงทาง |
การเดินทางตามลำห้วย ...ในบริเวณริมลำห้วยต่าง
ๆ จะมีความชื้นสูง ทำให้มีพันธุ์ไม้รกทึบยากแก่การเดินทาง ดังนั้นการเดินทางจึงมีความลำบากและเป็นไปอย่างล่าช้า
บางแห่งเป็นปลักโคลน ทำให้พืชที่เป็นเครือเถาขึ้นอยู่หนาแน่น รวมทั้งพืชที่ทำให้คัน
เช่น หมามุ่ยชอบขึ้นอยู่ด้วย หากจะต้องเดินในลำน้ำควรจะต้องระวังความลื่นที่เกิดจากก้อนหินกับตะไคร่น้ำที่เกาะอยู่
หินทรายในน้ำมักจะลื่น แต่ถ้าเป็นหินอัคนีก็จะมีความลื่นมาก จึงไม่ควรเดินในลำน้ำที่มีหินอัคนีเป็นพื้น
เพราะจะทำให้ลื่นได้ง่ายมาก ในบริเวณป่าห่างจากชุมชนไม่นานนัก ตามริมลำห้วยมักจะมีทางเดินของชาวบ้านที่มาหาปลาอยู่ด้วยเสมอ
แต่จุดที่จะใช้ตรวจสอบกับแผนที่ได้ก็คือ หน้าผาริมน้ำหรือริมห้วยต่าง ๆ การเดินทางตามลำห้วย
มีข้อดีตรงที่เราสามารถหาน้ำและอาหารเพื่อบริโภคได้ง่าย นอกจากนี้ยังต้องระวังงูซึ่งมักอยู่ใต้หลืบหินและขอนไม้
ต้นไม้ริมน้ำด้วย การเดินทางตามชายฝั่งทะเล ...โดยปกติตามชายฝั่งทะเลมักจะมีความยาวและอ้อมโค้ง แต่นั่นก็เป็นแนวหลักที่ดีที่สุดในการหาทิศและยังหาอาหารได้ง่ายอีกด้วย ชายฝั่งทะเลที่เป็นหาดทรายหรือว่าชะง่อนหิน ก็จะมีความสะดวกในการเดินทางพอประมาณ แต่หากเป็น หาดเลนที่มีป่าเลนน้ำเค็มขึ้นอยู่ จะเป็นอุปสรรคที่กีดขวางการเดินทางเป็นอย่างยิ่ง ควรที่จะหาทางเดินอื่นหลีกเลี่ยงไป |
การเดินทางในป่าทึบ ...การเดินทางในป่าทึบนั้นจะต้องใช้ความระมัดระวังมากที่สุด
และนักเดินป่าที่ดีนั้นย่อมเป็นผู้ที่รู้จักใช้เสียงในเวลาที่จำเป็นเท่านั้น
ในการเดินป่า เราจะต้องใช้ประสาทสัมผัสทั้งหมดไม่ว่าจะเป็น หู ตา จมูก และสัมผัสที่เราต้องใช้ให้น้อยที่สุดคือ
เสียง ที่จะต้องใช้ในตอนหยุดพัก ในแต่ละชั่วโมงหรือเมื่อมีเหตุจำเป็นจริง ๆ
เท่านั้น ดังนั้นนักเดินป่าที่ดีจึงต้องฝึกตนเองให้มีความสามารถเดินผ่านป่ารกทึบอย่างเงียบ
ๆ ได้อยู่เสมอ โดยจะค่อย ๆ แหวกต้นไม้ไป ซึ่งอาจจะมีโอกาสได้พบเห็นสัตว์ป่าได้อีกด้วย
ต้องระวังอย่าให้กิ่งไม้ครูดเป็นแผลหรือถลอกฟกช้ำ และระวังอย่าเดินหลงทางจะทำให้เสียกำลังใจ เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญที่ควรต้องจดจำเอาไว้ อย่า ใสใจกับต้นไม้ พุ่มไม้ที่อยู่ตรงหน้าเรามากนัก ให้ใช้สายตามองออกไปไกล ๆ อย่าสักแต่ว่ามองดูป่า จงมองให้ทะลุปรุโปร่ง ควรจะหยุดเดินบ้างเป็นครั้งคราว สำรวจดูตามพื้นดิน คอยเงี่ยหูฟังเสียงต่าง ๆ และสังเกตทิศทางเอาไว้ให้ดี ๆ ในพื้นที่ ๆ มีต้นไม้ขึ้นอยู่อย่างหนาแน่น ควรใช้มีดตัดป่าตัดเป็นช่องพอที่จะเดินผ่านไปได้เท่านั้น การ ตัดไม้ด้วยมีดควรใช้มีดฟันเฉียงขึ้นหรือเฉียงลงอย่างรวดเร็ว จะทำให้เกิดเสียงเบากว่าการฟันอย่างช้า ๆ เพราะนอกจากจะเป็นการทำลายพันธุ์แล้วยังก่อให้เกิดเสียงดังได้ยินไปก้องป่า สัตว์ป่ามักจะใช้เส้นทางด่านสัตวืในการเดิน ทางด่านสัตว์นี้มักคดเคี้ยว วกวน แต่ก็จะนำเราไปสุ่แหล่งน้ำหรือที่โล่งได้ ถ้าเราจะเดินตามต้องตรวสอบให้แน่ใจเสียก่อนว่าเป็นทิศทางเดียวกับที่เราต้องการไป โดยหมั่นตรวจสอบทิศทางอยู่เสมอเมื่อเดินไปตามทิศทางนั้นเมื่อจำเป็นที่จะต้องปีนต้นไม้เพื่อสังเกตการณ์หรือเก็บอาหารต้องลองตรวจสอบดูเสียก่อนว่ากิ่งไม้ที่จะปีนขึ้นไปนั้นมีความแข็งแรงพอที่จะรับน้ำหนักตัวของเราได้รึเปล่า และจะต้องยึดกิ่งที่ใหญ่ไว้ให้แน่นและมั่นคง ในขณะปีนพยายามเหยียบกิ่งให้ชิดกับลำต้น เพราะจะเป็นส่วนที่แข็งแรงมากที่สุด |
การกินอยู่ แน่นอนอยู่แล้วว่าการใช้ชีวิตอยู่ในป่าและในเมืองก็ตาม ร่างกายของคนเราก็ต้องมีความต้องการอาหารและน้ำเป็นธรรมดา แต่เมื่อเราอยู่ในป่า อาหารและน้ำคงจะหาไม่ได้ง่าย ๆ เหมือนกับเราอยู่ในเมือง ดังนั้นการแสวงหาอาหารในป่า จึงเป็นเรื่องที่ต้องเรียนรู้และทำความเข้าใจให้ละเอียดเพราะหากว่าเราไม่มีความรู้จริง การนำพืชบางชนิดมาเป็นอาหาร จะก่อให้เกิดอันตรายต่อร่างกายจากอาหารเป็นพิษได้ เราจึงแนะนำวิธีการแสวงหาอาหารในป่าโดยใช้น้ำและพืชที่จะนำมาเป็นอาหาร เพื่อที่จะสามารถใช้ชีวิตอยู่ในป่าได้อย่างไม่อดอาหาร ร่างกายของคนเรามีความต้องการน้ำวันละ 2-5 ลิตร แต่ไม่ใช่ว่าน้ำทุกชนิดจะปลอดภัยสำหรับดื่ม การแสวงหาน้ำในฤดูฝนไม่มีความลำบากมากนัก เพราะน้ำฝนมักจะมีขังอยู่ทั่ว ๆ ไป ตามลำธารและแอ่งน้ำ และถึงแม้ว่าตามลำธารจะไม่มีน้ำขังอยู่ แต่เราจะสามารถขุดบ่อลงไปในบริเวณพื้นที่ที่มีน้ำและในลำห้วยตามท้องธาร หรือหุบเขาก็จะได้น้ำกินและน้ำใช้ตามที่ต้องการ แต่สำหรับฤดูแล้งการแสวงหาน้ำ อาจจะมีความยากลำบากและยุ่งยากมากพอสมควร แต่เราก็ยังพอมีวิธีในการแสวงหาน้ำอยู่ |
การหาแหล่งน้ำ 1. สอบถามชาวบ้านถึงแหล่งน้ำ เพื่อเป็นการสะดวกควรให้ชาวบ้านที่รู้ว่ามีแหล่งน้ำที่ใดนำทางหรือชี้บอกทางให้ 2. หาตามหุบเขา,ซอกหิน หน้าแล้งจะสังเกตเห็นว่าต้นไม้ ต้นหญ้าบนภูเขาเปลี่ยนเป็นสีเหลืองและแห้งกรอบ ให้เราสังเกตที่หุบเขา ถ้าพบว่าหุบเขาใดมีต้นไม้เขียวชอุ่มตลอดปี ก็ให้เราไปหาน้ำตามหุบเขานั้น ซึ่งจะมีน้ำไหลซึมออกจากซอกหินตลอดปี 3. ขุดเลาะลำธารที่น้ำแห้งใหม่ ๆ ทำเป็นบ่อเล็ก ๆ ลึกลงไป ก็จะพบเจอน้ำตามที่เราต้องการ 4. หาจากเถาวัลย์ ผลไม้ ต้นไม้ เถาวัลย์น้ำจะขึ้นอยู่ตามพื้นที่แห้งแล้งเป็นส่วนมาก เช่น สะแกเถาว์,เถานางนูน,หวาย และต้นไม้ต่าง ๆ เช่น ต้นพลวง ,ต้นกล้วยป่า,รวมทั้งน้ำจากผลไม้และ ต้นไผ่ก็ใช้ดื่มได้ทั้งนั้น 5. ใช้อุปกรณ์ที่นำติดตัวไปทำเครื่องกักไอน้ำ เช่น เสื้อกันฝนหรือพลาสติคก็ได้ โดยเมื่อเข้าไปในพื้นที่ที่แห้งแล้งและเป็นพื้นที่โล่งแจ้งปราศจากต้นไม้ ให้ขุดหลุมกว้าง 3 ฟุต ลึกประมาณ 18 นิ้ว เอาก้อนหินใส่ลงไปก้นหลุม หาภาชนะรองน้ำไว้ตรงกลางหลุม เอาพลาสติคคลุมปากหลุมแล้วเอาดินกลบไว้รอบ ๆ ตรงกลางเอาก้อนหินวางไว้เพื่อถ่วงให้เป็นรูปกรวย เมื่อความร้อนจากดวงอาทิตย์ เผาก้อนหินและดินในหลุม ความชื้นที่มีอยู่จะระเหยเป็นไอขึ้นมากระทบกับพลาสติกมากเข้าก็จะกลายเป็นหยดน้ำไหลไปยังภาชนะที่เราเตรียมไว้รองรับเพื่อนำน้ำขึ้นมาใช้บริโภคต่อไป |
การหาน้ำในป่า เพื่อใช้ดื่มและประกอบอาหาร ... เมื่อเราเดินทางเข้าไปในป่าโดยเฉพาะในพื้นที่ที่เป็นโขดเขาทุรกันดาร น้ำดื่มจึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างมาก เนื่องจากการเดินทางในป่าจะทำให้ร่างกายสูญเสียเหงื่อ จึงต้องการความชุ่มชื้นและเสริมพลังอยู่บ่อย ๆ ดังนั้นสิ่งสำคัญอีกเรื่องหนึ่งที่จะตามมาก็คือ วิธีการหาน้ำและจะทราบได้อย่างไรว่าน้ำชนิดใดที่ดื่มเข้าไปแล้วจะไม่มีอันตรายต่อร่างกาย เราอาจต้องเดินตะลุยเข้าไป ในป่าที่มีความแห้งแล้งหรือบนภูเขาสูงเป็นระยะทางไกล ๆ แต่ไม่พบว่ามีแหล่งน้ำ หรือเราอาจจะอยู่ในบริเวณที่มีน้ำมากแต่น้ำนั่นอาจเป็นอันตรายต่อร่างกาย เมื่อเราดื่มเข้าไปจะทำให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บได้ หากเราได้ มีการเรียนรู้ถึงการดำรงชีพในป่า ปัญหาเหล่านี้เราก็จะสามารถแก้ไขปัญหานั้นได้ ซึ่งในขั้นแรกเราจะต้องรู้จักกับพืชพันธุ์ต้นไม้ที่มีน้ำที่เราสามารถดื่มได้อย่างปลอดภัย ขั้นต่อไปต้องรู้จักวิธีป้องกันเมื่อจะดื่มน้ำ ในลำห้วยหรือแหล่งน้ำอื่น ๆ ในป่า โดยคำนึงถึงช่วงเวลาหรือฤดูกาลของปีและสภาพพื้นที่ท้องถิ่นนั้น ๆ เมื่อเรามีความรู้เกี่ยวกับพืชที่ให้น้ำแล้ว ปัญหาเกี่ยวกับการหาน้ำดื่มไม่ได้ก็จะหมดสิ้นไป ซึ่งพืชที่ให้น้ำนั้นมี มากมายหลายชนิดแต่บางชนิดก็ไม่ปลอดภัย.... |
1. ไม้แหง ต้นไม้พวกแหงนี้ เราจะพบในป่าที่แห้งแล้งไม่มีน้ำ แต่ต้นไม้แหงจะมีน้ำ
ต้นแหงหนุ่ม ๆ ที่มีโคนในราว 4 นิ้ว จะให้น้ำได้ดีที่สุด วิธีการก็คือตัดตรงโคนก่อนแล้วจึงตัดยอดปลายออกโดยให้ลำต้นยาวประมาณ
6 ฟุต แล้วคว่ำปลายลงจากนั้นจึงเอาภาชนะที่เตรียมไว้หรือปล้องไผ่ก็ได้รองรับน้ำจากต้นแหง
น้ำในต้นไม้แหงจะหยดลงมาด้วยกรรมวิธีแบบนี้ ต้นแหงแต่ละต้นจะสามารถให้น้ำเต็มถ้วยได้ภายในไม่กี่นาที
รสชาติของน้ำที่ไหลออกมาจากลำต้นแหงอาจจะไม่เหมือนกับน้ำบ่อหรือน้ำประปา และเป็นแหล่งน้ำที่แน่นอนมีความปลอดภัยที่สุดในบรรดาต้นไม้อื่น
ๆ ที่อยู่ในพื้นที่แห้งแล้ง 2. ไม้ก่อเดือย ต้นก่อเดือยจะเจริญเติบโตและขึ้นอยู่ในที่สูง วิธีการเอาไม้จากไม้ก่อเดือย ก็ใช้วิธีการเดียวกับไม้แหง น้ำจากไม้ก่อเดือยปราศจากรสชาติ แต่ก็มีความปลอดภัย ไม้ก่อเดือยจัดเป็นต้นไม้ที่สำคัญชนิดหนึ่ง บางครั้งเราอาจจะพบในทุ่งปศุสัตว์ที่กันดารและขาดแคลนน้ำโดยเฉพาะในฤดูแล้ง 3.กล้วยป่า กล้วยป่าทุกชนิดจะให้น้ำที่ปลอดภัย แม้ว่ารสชาติของน้ำที่ได้จะไม่ดีนัก แต่ก็ใช้ในการดื่มและประกอบอาหารได้ วิธีการเอาน้ำจากต้นกล้วยก็ไม่ยากนัก ขั้นแรกก็คือตัดต้นกล้วย แล้วลอกเอาเปลือกออกเป็นกาบ ๆ แล้วเอากาบกล้วยนั้นมาบีบคั้นเหมือนกับการที่เราซักผ้าแล้วบิดผ้าออกตากแล้วน้ำก็จะหยดลงใส่ภาชนะที่เราเตรียมไว้สำหรับรองรับน้ำ ดงกล้วยป่าเราจะสามารถมองเห็นได้แต่ไกล ซึ่งดงกล้วยป่าสามารถให้ประโยชน์แก่นักเดินป่า ผจญไพรได้หลายข้อเลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นการใช้ใบตองมุงหลังคา ผลของกล้วยป่าก็ใช้รับประทานเป็นอาหารและสามารถให้น้ำสำหรับดื่มและประกอบอาหารได้อีกด้วย 4. ไม้ไผ่ ในป่านั้นพืชที่ให้น้ำบริสุทธิ์ที่สุดคือไม้ไผ่ แต่จะหาต้นไม้ที่มีน้ำในลำปล้องนั้นยากมาก จะต้องหาจากต้นไผ่ที่งอกขึ้นมาได้อายุประมาณ 1 ปี ซึ่งจะสังเกตได้จากลำต้นของมันที่เขียวงามผิดกับต้นแก่ที่จะมีจุดเป็นดอกดวง อนึ่งต้องหาต้นไผ่ที่มีหนอนไชรุตรงปลายต้นเมื่อมันยังเพิ่งแตกหน่อเพราะต้นไผ่แบบนี้จะมีน้ำ แต่ในการการเลือกหาต้นไผ่ที่มีน้ำก็ต้องระมัดระวังอย่างหนึ่งคือ ถ้ามีตัวคล้ายวุ้นอยู่ข้างในปล้องไผ่ก็อย่าใช้น้ำนั้นดื่ม เพราะปล้องไผ่ที่มี น้ำสะอาดที่สามารถใช้ดื่มได้นั้นจะต้องมองเห็นน้ำในปล้องไผ่ใสแจ๋ว |